...ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์...


วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

คณะผู้จัดทำ

วิชาไทยศึกษาเชิงประจักษ์ รหัสวิชา 01999032 หมู่เรียน 300
ภาคการศึกษาภาคต้น ปีการศึกษา 2559
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน



คณะผู้จัดทำ
นางสาวฐิติพร         โรจน์โลหะโสภณ        5910751671
นายณัฎฐกิตติ์         ชมภูพฤกษ์              5910751727
นางสาวณัฐนิษฐา     ชัชวาลวรพงษ์ษา       5910751786
นางสาวณิชารีย์       คำหรรษา                 5910751832
นางสาวปาลิตา        สินนารายณ์              5910752197
นางสาวพัณณ์ชิตา    ลาภภักดี                 5910752251
นางสาวพิชญา         พยอมแย้ม               5910752278
นางสาวภัทรีวรรณ    จันทร์วัฒนพงษ์         5910752405
นางสาวมาลินี          หล่อทองแดง            5910752430
นางสาววาสิตา         กันไทย                   5910752600
นางสาวสกุลรัตน์      โชติศิริคุณวัฒน์          5910752731
นางสาวสาวิตรี         ขันแก้ว                   5910752804
นางสาวสิตาชาณา    รักษ์ไกรเดช              5910752812
นางสาวสุธีธิดา        เกียรติกิจเจริญ           5910752898

อาจารย์ที่ปรึกษา
อาจารย์ ดร.กฤตยา ณ หนองคาย

บทนำ

        เป็นเว็บไซต์ที่จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลจากการไปเยี่ยมชมนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เมื่อ 2 กันยายน 2559 ตามที่ได้รับมอบหมาย กลุ่ม C12 เพียวเครื่องกรองน้ำต้องเพียว ได้เข้าชมห้องเรืองรุ่งวิถีไทย ซึ่งเป็นห้องจัดแสดงประเพณีเกี่ยวกับชีวิต พวกเราได้ฟังเกี่ยวกับประเพณีการเกิด จึงเกิดความสนใจเกี่ยวกับภูมิปัญญาของหมอตำแยจึงทำการศึกษาเรื่องนี้ เพื่อนำมาเผยแพร่ให้กับผู้ที่สนใจ และเพื่อรักษาองค์ความรู้นี้สืบต่อไปในอนาคต

วัตถุประสงค์ของการศึกษา
เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาของหมอตำแยในอดีต ความเป็นอยู่ในปัจจุบันและวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต
ขอบเขตการศึกษา
ศึกษาการปฏิบัติดูแลสุขภาพแม่และเด็กในช่วงตั้งครรภ์, การคลอด และระยะหลังคลอด โดยใช้ภูมิปัญญาหมอตำแยในอดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต
 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.   ได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาและความสำคัญของภูมิปัญญาหมอตำแย
2.   ได้ทราบถึงความเป็นอยู่ในปัจจุบันของภูมิปัญญาหมอตำแย
3.   ได้รู้ถึงผลการวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคตของเรื่อง ภูมิปัญญาของหมอตำแย 








การดูแลสุขภาพแม่และเด็กด้วยภูมิปัญญาหมอตำแย

หน้าที่ของหมอตำแย เป็นผู้ที่ให้การดูแลแม่และเด็กตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ ช่วงคลอด และหลังคลอดโดยเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านอาหาร เป็นผู้ทำคลอด และดูแลการอยู่ไฟหลังการคลอดเพื่อฟื้นฟูร่างกายเข้าสู่สภาวะปกติ
การฝากท้อง
เมื่อหญิงตั้งครรภ์จะไปทำพิธีเพื่อขอให้หมอตำแยเป็นผู้ดูแลในระหว่างตั้งครรภ์ เรียกว่าการตั้งราด ฝากท้องกับหมอตำแยเสียเงินค่าฝากท้องเป็นทำนองเงินค่ามัดจำตามธรรมเนียม กึ่งตำลึงหรือตำลึงหนึ่ง  คือ 2 บาทหรือ 4 บาทหรืออาจมากน้อยกว่านี้เท่าไรก็ตามเรื่องแล้วแต่ฐานะของผู้ฝาก ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องครรภ์ ก็ไปตามหมอตำแยมาช่วยเหลือได้ไม่ว่าเวลาใดตาม
ข้อห้ามของหมอตำแย
ห้ามบอกพ่อแม่เด็กและญาติพี่น้องว่าเด็กในท้องเป็นหญิงหรือชาย เช่น พอแม่ท้องได้สักแปดเดือน หมอตำแยคลำดูก็รู้เพศเด็กแล้ว ไม่มีการห้ามเรื่องการทำแท้งและทำหมันไว้อย่างเด่นชัด คนโบราณกล่าวไว้ว่า เพียงจับมดลูกพลิกด้วยวิธีต่าง ๆ ก็สามารถทำแท้ง และทำหมัน รวมทั้งทำให้เด็กออกมาไม่ได้อย่างง่ายดาย 

การดูแลแม่ก่อนคลอด(ระยะตั้งครรภ์)

การกล่อมท้อง(แต่งท้อง
·    การกล่อมท้องเมื่ออายุครรภ์เกิน 7 เดือนขึ้นไปเท่านั้น
·    ใช้น้ำมะพร้าวสำหรับกล่อมท้อง
วิธีการนวด
ที่มากรกมล  เอี่ยมธนะมาศ (2557)


·    กดเบาๆที่ช่องระหว่างส่วนนำของทารกในครรภ์แล้วดันขึ้นเบาๆใช้สันมือกดลงกึ่งกลางเหนือหัวเหน่า กดเยื้องซ้ายขวาจากแนวกึ่งกลางหัวเหน่า กดแนวด้านข้างท้องจนถึงใต้ลิ้นปี่ให้มารดาตั้งชันเข่าและนวดตามที่กล่าวมาตามลำดับ(ต้องให้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ทำ)
·    ต้องนวดด้วยความนุ่มนวลและระมัดระวังเป็นมากกว่า การลงน้ำหนักหรือการแต่งรสมือ ไม่ควรกดหนักหรือแรง 
ประโยชน์ที่ได้รับ
·    ขยับตำแหน่งทารก เพื่อลดการดึงรั้งหน้าท้องของมารดา มีผลต่อการรับน้ำหนักของแผ่นหลัง จะช่วยลดอาการปวดหลังได้

·    ช่วยลดอาการบวม คลอดง่ายขึ้น

อาหารและสมุนไพร
1. มะพร้าว ลดอาการแพ้ท้อง ช่วยให้เด็กในท้องแข็งแรง คลอดง่ายและไม่มีเมือกติดตัว
2. ดื่มเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว น้ำส้ม ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้
3. ห้ามกินของร้อนของเผ็ด ของหมักดอง เปรี้ยวจัด เค็มจัด
     4.  ห้ามกินกล้วยน้ำว้า เพราะจะทำให้เด็กที่อยู่ในท้องอ้วนท้วม ทำให้คลอดยาก คนในสมัยก่อน ถ้าทำให้เด็กตัวเล็กมากเท่าใดยิ่งดี ถือเอาการเกิดง่ายเป็นหลัก เป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งเพราะไม่มีแพทย์และเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน ถ้าปล่อยให้เด็กอ้วนจนคลอดออกมาไม่ได้ จะสร้างความยุ่งยากให้หมอตำแย

   5. ห้ามกินเนื้อวัวเชื่อว่าเวลาคลอดจะทำให้เกิดไขมันมาก เนื้อตัวทารกจะเต็มไปด้วยไขมันล้างออกยาก

การดูแลแม่และเด็กระยะคลอด

การทำคลอด 
เมื่อหมอตำแยมาถึงต้องมีการคัดท้อง เพื่อดูการหันหัวหันเท้าของเด็ก หากว่าเด็กหันหัวหันเท้าผิดปกติ  หมอตำแยจะเอามือช้อนหรือที่เรียกว่า "คัดท้อง" ให้เด็กอยู่ในท่าปกติทำเช่นนี้ประมาณ ๒-๓ ครั้ง  เพื่อเตรียมตัวก่อนคลอด จะทำให้เด็กคลอดง่ายและปลอดภัยแล้วหมอตำแยจะเอาน้ำมะพร้าวมานวดที่ท้อง เพื่อให้ถุงน้ำคร่ำแตกหากผู้คลอดมีเชิงกรานที่เล็กต้องดื่มน้ำอุ่นกับใบมะนาวเพื่อให้คลอดง่ายขึ้นและให้มีแรง
ในบางที่จะมีการใช้เชือกและผ้ามัดขื่อไว้ให้หญิงมีครรภ์โหนหรือเหนี่ยวรั้งขณะเบ่งคลอด ขึ้นอยู่กับหมอตำแยที่ทำคลอดถนัดวิธีแบบไหนและอาจต้องมีคนหนุนหลัง คอยช่วยช่วยผลักและข่มท้อง
การคลอดแบบหมอตำแยไม่มีการตัดฝีเย็บ ปล่อยให้ฝีเย็บฉีกขาดตามธรรมชาติ บางทีอาจใช้เกลือสะอาด ที่มีแง่คม เอามากรีดฝีเย็บช่วงที่ศีรษะเด็กโผล่ โดยฝีเย็บจะไม่มีการเย็บซ่อมแซม ปล่อยให้หายเอง แผลที่เกิดจะทำความสะอาดโดยใช้เหล้าล้าง แล้วตำไพลกับเกลือพอก
การตัดสายสะดือต้องผูก โดยใช้เชือกหรือด้ายดิบเพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลซึมออกมา หมอตำแยจะตัดสายสะดือด้วยผิวไม้ไผ่วางบนขมิ้นแล้วตัดโดยห่างจากสะดือเด็กไปหนึ่งนิ้วจากนั้นรีดสายสะดือไปทางฝั่งแม่ แล้ววัดจากฝั่งแม่ประมาณสองนิ้วแล้วตัดตรงกลาง สะดือทาด้วยยอดพลับพลา ขี้เต่าหรือหญ้าใต้ใบห้ามใช้มีดหรือของมีคมที่เป็นเหล็กตัด เพราะถ้าไม่ระวังอาจจะติดเชื้อบาดทะยักได้ และการผูกสายสะดือต้องผูกให้แน่นเรียบร้อย

การคลอดจะสิ้นสุดเมื่อรกคลอด จากนั้นหมดตำแยจะเหยียบเรียกว่า "เหยียบสุ่ม"  แล้วอาบน้ำอุ่นทำความสะอาดตัวแม่ ให้แม่ดื่มเกลือผสมน้ำมะขามเปียก 1 ชาม แล้วแม่ทำการอยู่ไฟ



ลักษณะท่าทางเด็กตอนคลอด
         ตั้งแต่เคลื่อนจากมดลูกจนเด็กคลอดออกมา เรียกว่า ตกฟาก มี 3 แบบ คือ
1.ท่าคว่ำหน้าออก เป็นท่าปกติในการคลอด
 2. ท่าหงายหน้าออก
          เป็นท่าปกติในการคลอด แต่ต้องรีบคว่ำหน้าเด็กลงเพื่อไม่ให้น้ำคร่ำเข้าคอเด็กทำให้เด็กสำลัก
3.ท่าเอาก้น ขาหรือเท้าออก
           เป็นการคลอดที่ยากเพราะทารกไม่ยอมกลับหัว คือ ส่วนนำ ของลูกไม่ใช่ศีรษะ แต่เป็นก้นหรือเท้าแทน โอกาสการเสียชีวิตค่อนข้างสูง

กรณีพิเศษ ท่าเอามือ และแขนออก
            ไม่สามารถทำคลอดท่านี้ได้ด้วยวิธีหมอตำแย สาเหตุเกิดจากการแต่งท้องมากเกินไป ทำให้ศีรษะทารกพลาดจากช่องคลอด แขนจึงเคลื่อนมาที่ช่องคลอด และออกมา ถ้าจะช่วยโดยให้แขนเข้าไปตามเดิม เพราะทารกจะกลับเองไม่ได้ ต้องรู้ว่าถ้ามือคว่ำตัวทารกคว่ำ มือหงายตัวทารกหงาย ถ้าข้อเข่าพับเท้าจะอยู่ที่ก้น ทารกจะคลอดออกมาไม่ได้ คล้ายกับทารกขวางตัว ทำให้เกิดการเสียชีวิตทั้งแม่และเด็ก

การดูแลเด็กระยะหลังคลอด
เด็กที่คลอดลงมาถึงพื้น เรียกว่าตกฟาก หมอตำแยรีบเอาผ้าห่อทันที แล้วจะควํ่าเด็ก ล้วงควักเอาเมือกออกจากปากเด็ก แล้วจัดการให้เด็กร้องอุแว้
หลังจากนั้นพาเด็กไปอาบน้ำ  หมอตำแยจะนั่งเหยียดขาทั้งสองไปข้างหน้าวางตัวเด็กบนข้างทั้งสองข้างโดยหันศีรษะไปทางปลายเท้าดัดแขนดัดขาจะทำให้แขนอ่อนขาตรงแล้วชำระล้างร่างกายเด็กด้วยน้ำอุ่น เมื่อแต่งตัวให้เด็กแล้ว จะวางเด็กบนกระด้งซึ่งปูผ้าหรือเบาะไว้ ถ้าเป็นเด็กชายวางสมุดดินสอไว้ข้างๆเผื่อจะได้เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต ส่วนเด็กหญิงจะใส่ด้ายเข็มจะได้เป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี
แล้วนำมาเข้าพิธีร่อนกระด้ง เป็นพิธีประกาศความเป็นเจ้าของในตัวเด็ก หมอตำแยจะยกกระด้งขึ้นร่อนเบาๆ ทำสามครั้ง พูดว่า สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกของใครรับไปเน้อ ซึ่งจะให้หญิงประพฤติดีและเลี้ยงลูกง่ายมาคอยขานรับว่า ลูกฉันเองๆ แล้วจ่ายเงินแก่หมอตำแยพอเป็นพิธี

ส่วนรกเด็กนำไปคลุกกับพริกไทยป่นและเกลือใส่หม้อดินนำไปฝังขึ้นอยู่กับความเชื่อท้องถิ่นนั้นๆ เช่น ฝังใต้ต้นส้มเชื่อว่าเด็กจะฉลาดหรือฝังทางทิศตะวันออกหรือตรงหัวบันไดบ้านเชื่อว่าเด็กเกิดมาจะไม่ทิ้งบ้าน และ ฝังตามวันเกิด  

การตัดสายสะดือและอาบน้ำเด็ก

การร่อนกระด้ง


การดูแลแม่ระยะหลังคลอด

       ข้อสำคัญ : ต้องดูแลสุขอนามัยช่องคลอดให้สะอาด ไม่ให้น้ำคาวปลาสะสม จนทำให้เกิดการติดเชื้อ ที่เรียกว่า "สันนิบาตหน้าเพลิง" ซึ่งหมายถึง ไข้ที่เกิดในช่วงหลังคลอด
        วิธีของการดูแลหลังคลอด โดยแม่หลังคลอด 1 คน อาจจะใช้เพียง 1-2 วิธีเท่านั้นหรือมากกว่าขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายคุณแม่หลังคลอด          
การอยู่ไฟ          
กำหนดวันอยู่ไฟ ใช้เวลา 7 วันแต่ไม่เกิน 3 เดือน ในสมัยก่อนหมอตำแยจะไม่ได้เย็บแผลที่ฉีกขาด จึงต้องให้คุณแม่นอนบนกระดานแผ่นเดียวหนีบขาทั้งสองข้างไว้ ช่วยให้แผลติดกันได้
วิธีการอยู่ไฟ
      -ผู้คลอดจะนอนอยู่บนกระดานแผ่นใหญ่ที่เรียกว่า กระดานไฟ 
      - นอนบนไม้กระดาน ส่วนเตาไฟอยู่ใต้แคร่ มีแผ่นสังกะสีรองทับอีกที เรียกว่า อยู่ไฟแคร่
      - นอนบนกระดานไฟซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับพื้นและมีกองไฟอยู่ข้าง ๆ เรียกว่า อยู่ไฟข้าง 

-ในสมัยก่อนจะนิยมอยู่ไฟข้างมากกว่าอยู่ไฟแคร่           
ประโยชน์ของการอยู่ไฟ
      ทำให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น คลายกล้ามเนื้อที่เกิดจากการกดทับขณะตั้งครรภ์คลายตัว เลือดลมไหลเวียนได้ดี ปรับสมดุลร่างกายให้เข้าที่ อาการหนาวสะท้านจากการเสียเลือดหลังคลอดดีขึ้น มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น ทำให้น้ำคาวปลาแห้งเร็ว 

การนั่งถ่าน

เป็นการรมควันจากการเผาสมุนไพร ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะในการกระตุ้นการบีบตัวของมดลูก ช่วยขับน้ำคาวปลา ทำความสะอาดแผลฝีเย็บและช่องคลอด สมานแผล บรรเทาอาการเจ็บปวดแผล ลดการติดเชื้อหลังคลอด สมุนไพรที่ใช้ ได้แก่ ผิวมะกรูด ว่านน้ำ ว่านนางคำ ไพล ขมิ้น อ้อย ชานหมาก ชะลูด ขมิ้นผง ใบหนาด กำยานบดผง นำมาหั่นให้ละเอียด แล้วเอาไปตากแดด ใช้ทีละหยิบมือโรยบนเตาไฟขนาดเล็ก เพื่อให้เกิดควันลอยขึ้นเพื่อสมานแผลบริเวณฝีเย็บ