...ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์...


วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

คณะผู้จัดทำ

วิชาไทยศึกษาเชิงประจักษ์ รหัสวิชา 01999032 หมู่เรียน 300
ภาคการศึกษาภาคต้น ปีการศึกษา 2559
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน



คณะผู้จัดทำ
นางสาวฐิติพร         โรจน์โลหะโสภณ        5910751671
นายณัฎฐกิตติ์         ชมภูพฤกษ์              5910751727
นางสาวณัฐนิษฐา     ชัชวาลวรพงษ์ษา       5910751786
นางสาวณิชารีย์       คำหรรษา                 5910751832
นางสาวปาลิตา        สินนารายณ์              5910752197
นางสาวพัณณ์ชิตา    ลาภภักดี                 5910752251
นางสาวพิชญา         พยอมแย้ม               5910752278
นางสาวภัทรีวรรณ    จันทร์วัฒนพงษ์         5910752405
นางสาวมาลินี          หล่อทองแดง            5910752430
นางสาววาสิตา         กันไทย                   5910752600
นางสาวสกุลรัตน์      โชติศิริคุณวัฒน์          5910752731
นางสาวสาวิตรี         ขันแก้ว                   5910752804
นางสาวสิตาชาณา    รักษ์ไกรเดช              5910752812
นางสาวสุธีธิดา        เกียรติกิจเจริญ           5910752898

อาจารย์ที่ปรึกษา
อาจารย์ ดร.กฤตยา ณ หนองคาย

บทนำ

        เป็นเว็บไซต์ที่จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลจากการไปเยี่ยมชมนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เมื่อ 2 กันยายน 2559 ตามที่ได้รับมอบหมาย กลุ่ม C12 เพียวเครื่องกรองน้ำต้องเพียว ได้เข้าชมห้องเรืองรุ่งวิถีไทย ซึ่งเป็นห้องจัดแสดงประเพณีเกี่ยวกับชีวิต พวกเราได้ฟังเกี่ยวกับประเพณีการเกิด จึงเกิดความสนใจเกี่ยวกับภูมิปัญญาของหมอตำแยจึงทำการศึกษาเรื่องนี้ เพื่อนำมาเผยแพร่ให้กับผู้ที่สนใจ และเพื่อรักษาองค์ความรู้นี้สืบต่อไปในอนาคต

วัตถุประสงค์ของการศึกษา
เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาของหมอตำแยในอดีต ความเป็นอยู่ในปัจจุบันและวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต
ขอบเขตการศึกษา
ศึกษาการปฏิบัติดูแลสุขภาพแม่และเด็กในช่วงตั้งครรภ์, การคลอด และระยะหลังคลอด โดยใช้ภูมิปัญญาหมอตำแยในอดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต
 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.   ได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาและความสำคัญของภูมิปัญญาหมอตำแย
2.   ได้ทราบถึงความเป็นอยู่ในปัจจุบันของภูมิปัญญาหมอตำแย
3.   ได้รู้ถึงผลการวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคตของเรื่อง ภูมิปัญญาของหมอตำแย 








การดูแลสุขภาพแม่และเด็กด้วยภูมิปัญญาหมอตำแย

หน้าที่ของหมอตำแย เป็นผู้ที่ให้การดูแลแม่และเด็กตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ ช่วงคลอด และหลังคลอดโดยเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านอาหาร เป็นผู้ทำคลอด และดูแลการอยู่ไฟหลังการคลอดเพื่อฟื้นฟูร่างกายเข้าสู่สภาวะปกติ
การฝากท้อง
เมื่อหญิงตั้งครรภ์จะไปทำพิธีเพื่อขอให้หมอตำแยเป็นผู้ดูแลในระหว่างตั้งครรภ์ เรียกว่าการตั้งราด ฝากท้องกับหมอตำแยเสียเงินค่าฝากท้องเป็นทำนองเงินค่ามัดจำตามธรรมเนียม กึ่งตำลึงหรือตำลึงหนึ่ง  คือ 2 บาทหรือ 4 บาทหรืออาจมากน้อยกว่านี้เท่าไรก็ตามเรื่องแล้วแต่ฐานะของผู้ฝาก ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องครรภ์ ก็ไปตามหมอตำแยมาช่วยเหลือได้ไม่ว่าเวลาใดตาม
ข้อห้ามของหมอตำแย
ห้ามบอกพ่อแม่เด็กและญาติพี่น้องว่าเด็กในท้องเป็นหญิงหรือชาย เช่น พอแม่ท้องได้สักแปดเดือน หมอตำแยคลำดูก็รู้เพศเด็กแล้ว ไม่มีการห้ามเรื่องการทำแท้งและทำหมันไว้อย่างเด่นชัด คนโบราณกล่าวไว้ว่า เพียงจับมดลูกพลิกด้วยวิธีต่าง ๆ ก็สามารถทำแท้ง และทำหมัน รวมทั้งทำให้เด็กออกมาไม่ได้อย่างง่ายดาย 

การดูแลแม่ก่อนคลอด(ระยะตั้งครรภ์)

การกล่อมท้อง(แต่งท้อง
·    การกล่อมท้องเมื่ออายุครรภ์เกิน 7 เดือนขึ้นไปเท่านั้น
·    ใช้น้ำมะพร้าวสำหรับกล่อมท้อง
วิธีการนวด
ที่มากรกมล  เอี่ยมธนะมาศ (2557)


·    กดเบาๆที่ช่องระหว่างส่วนนำของทารกในครรภ์แล้วดันขึ้นเบาๆใช้สันมือกดลงกึ่งกลางเหนือหัวเหน่า กดเยื้องซ้ายขวาจากแนวกึ่งกลางหัวเหน่า กดแนวด้านข้างท้องจนถึงใต้ลิ้นปี่ให้มารดาตั้งชันเข่าและนวดตามที่กล่าวมาตามลำดับ(ต้องให้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ทำ)
·    ต้องนวดด้วยความนุ่มนวลและระมัดระวังเป็นมากกว่า การลงน้ำหนักหรือการแต่งรสมือ ไม่ควรกดหนักหรือแรง 
ประโยชน์ที่ได้รับ
·    ขยับตำแหน่งทารก เพื่อลดการดึงรั้งหน้าท้องของมารดา มีผลต่อการรับน้ำหนักของแผ่นหลัง จะช่วยลดอาการปวดหลังได้

·    ช่วยลดอาการบวม คลอดง่ายขึ้น

อาหารและสมุนไพร
1. มะพร้าว ลดอาการแพ้ท้อง ช่วยให้เด็กในท้องแข็งแรง คลอดง่ายและไม่มีเมือกติดตัว
2. ดื่มเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว น้ำส้ม ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้
3. ห้ามกินของร้อนของเผ็ด ของหมักดอง เปรี้ยวจัด เค็มจัด
     4.  ห้ามกินกล้วยน้ำว้า เพราะจะทำให้เด็กที่อยู่ในท้องอ้วนท้วม ทำให้คลอดยาก คนในสมัยก่อน ถ้าทำให้เด็กตัวเล็กมากเท่าใดยิ่งดี ถือเอาการเกิดง่ายเป็นหลัก เป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งเพราะไม่มีแพทย์และเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน ถ้าปล่อยให้เด็กอ้วนจนคลอดออกมาไม่ได้ จะสร้างความยุ่งยากให้หมอตำแย

   5. ห้ามกินเนื้อวัวเชื่อว่าเวลาคลอดจะทำให้เกิดไขมันมาก เนื้อตัวทารกจะเต็มไปด้วยไขมันล้างออกยาก

การดูแลแม่และเด็กระยะคลอด

การทำคลอด 
เมื่อหมอตำแยมาถึงต้องมีการคัดท้อง เพื่อดูการหันหัวหันเท้าของเด็ก หากว่าเด็กหันหัวหันเท้าผิดปกติ  หมอตำแยจะเอามือช้อนหรือที่เรียกว่า "คัดท้อง" ให้เด็กอยู่ในท่าปกติทำเช่นนี้ประมาณ ๒-๓ ครั้ง  เพื่อเตรียมตัวก่อนคลอด จะทำให้เด็กคลอดง่ายและปลอดภัยแล้วหมอตำแยจะเอาน้ำมะพร้าวมานวดที่ท้อง เพื่อให้ถุงน้ำคร่ำแตกหากผู้คลอดมีเชิงกรานที่เล็กต้องดื่มน้ำอุ่นกับใบมะนาวเพื่อให้คลอดง่ายขึ้นและให้มีแรง
ในบางที่จะมีการใช้เชือกและผ้ามัดขื่อไว้ให้หญิงมีครรภ์โหนหรือเหนี่ยวรั้งขณะเบ่งคลอด ขึ้นอยู่กับหมอตำแยที่ทำคลอดถนัดวิธีแบบไหนและอาจต้องมีคนหนุนหลัง คอยช่วยช่วยผลักและข่มท้อง
การคลอดแบบหมอตำแยไม่มีการตัดฝีเย็บ ปล่อยให้ฝีเย็บฉีกขาดตามธรรมชาติ บางทีอาจใช้เกลือสะอาด ที่มีแง่คม เอามากรีดฝีเย็บช่วงที่ศีรษะเด็กโผล่ โดยฝีเย็บจะไม่มีการเย็บซ่อมแซม ปล่อยให้หายเอง แผลที่เกิดจะทำความสะอาดโดยใช้เหล้าล้าง แล้วตำไพลกับเกลือพอก
การตัดสายสะดือต้องผูก โดยใช้เชือกหรือด้ายดิบเพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลซึมออกมา หมอตำแยจะตัดสายสะดือด้วยผิวไม้ไผ่วางบนขมิ้นแล้วตัดโดยห่างจากสะดือเด็กไปหนึ่งนิ้วจากนั้นรีดสายสะดือไปทางฝั่งแม่ แล้ววัดจากฝั่งแม่ประมาณสองนิ้วแล้วตัดตรงกลาง สะดือทาด้วยยอดพลับพลา ขี้เต่าหรือหญ้าใต้ใบห้ามใช้มีดหรือของมีคมที่เป็นเหล็กตัด เพราะถ้าไม่ระวังอาจจะติดเชื้อบาดทะยักได้ และการผูกสายสะดือต้องผูกให้แน่นเรียบร้อย

การคลอดจะสิ้นสุดเมื่อรกคลอด จากนั้นหมดตำแยจะเหยียบเรียกว่า "เหยียบสุ่ม"  แล้วอาบน้ำอุ่นทำความสะอาดตัวแม่ ให้แม่ดื่มเกลือผสมน้ำมะขามเปียก 1 ชาม แล้วแม่ทำการอยู่ไฟ



ลักษณะท่าทางเด็กตอนคลอด
         ตั้งแต่เคลื่อนจากมดลูกจนเด็กคลอดออกมา เรียกว่า ตกฟาก มี 3 แบบ คือ
1.ท่าคว่ำหน้าออก เป็นท่าปกติในการคลอด
 2. ท่าหงายหน้าออก
          เป็นท่าปกติในการคลอด แต่ต้องรีบคว่ำหน้าเด็กลงเพื่อไม่ให้น้ำคร่ำเข้าคอเด็กทำให้เด็กสำลัก
3.ท่าเอาก้น ขาหรือเท้าออก
           เป็นการคลอดที่ยากเพราะทารกไม่ยอมกลับหัว คือ ส่วนนำ ของลูกไม่ใช่ศีรษะ แต่เป็นก้นหรือเท้าแทน โอกาสการเสียชีวิตค่อนข้างสูง

กรณีพิเศษ ท่าเอามือ และแขนออก
            ไม่สามารถทำคลอดท่านี้ได้ด้วยวิธีหมอตำแย สาเหตุเกิดจากการแต่งท้องมากเกินไป ทำให้ศีรษะทารกพลาดจากช่องคลอด แขนจึงเคลื่อนมาที่ช่องคลอด และออกมา ถ้าจะช่วยโดยให้แขนเข้าไปตามเดิม เพราะทารกจะกลับเองไม่ได้ ต้องรู้ว่าถ้ามือคว่ำตัวทารกคว่ำ มือหงายตัวทารกหงาย ถ้าข้อเข่าพับเท้าจะอยู่ที่ก้น ทารกจะคลอดออกมาไม่ได้ คล้ายกับทารกขวางตัว ทำให้เกิดการเสียชีวิตทั้งแม่และเด็ก

การดูแลเด็กระยะหลังคลอด
เด็กที่คลอดลงมาถึงพื้น เรียกว่าตกฟาก หมอตำแยรีบเอาผ้าห่อทันที แล้วจะควํ่าเด็ก ล้วงควักเอาเมือกออกจากปากเด็ก แล้วจัดการให้เด็กร้องอุแว้
หลังจากนั้นพาเด็กไปอาบน้ำ  หมอตำแยจะนั่งเหยียดขาทั้งสองไปข้างหน้าวางตัวเด็กบนข้างทั้งสองข้างโดยหันศีรษะไปทางปลายเท้าดัดแขนดัดขาจะทำให้แขนอ่อนขาตรงแล้วชำระล้างร่างกายเด็กด้วยน้ำอุ่น เมื่อแต่งตัวให้เด็กแล้ว จะวางเด็กบนกระด้งซึ่งปูผ้าหรือเบาะไว้ ถ้าเป็นเด็กชายวางสมุดดินสอไว้ข้างๆเผื่อจะได้เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต ส่วนเด็กหญิงจะใส่ด้ายเข็มจะได้เป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี
แล้วนำมาเข้าพิธีร่อนกระด้ง เป็นพิธีประกาศความเป็นเจ้าของในตัวเด็ก หมอตำแยจะยกกระด้งขึ้นร่อนเบาๆ ทำสามครั้ง พูดว่า สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกของใครรับไปเน้อ ซึ่งจะให้หญิงประพฤติดีและเลี้ยงลูกง่ายมาคอยขานรับว่า ลูกฉันเองๆ แล้วจ่ายเงินแก่หมอตำแยพอเป็นพิธี

ส่วนรกเด็กนำไปคลุกกับพริกไทยป่นและเกลือใส่หม้อดินนำไปฝังขึ้นอยู่กับความเชื่อท้องถิ่นนั้นๆ เช่น ฝังใต้ต้นส้มเชื่อว่าเด็กจะฉลาดหรือฝังทางทิศตะวันออกหรือตรงหัวบันไดบ้านเชื่อว่าเด็กเกิดมาจะไม่ทิ้งบ้าน และ ฝังตามวันเกิด  

การตัดสายสะดือและอาบน้ำเด็ก

การร่อนกระด้ง


การดูแลแม่ระยะหลังคลอด

       ข้อสำคัญ : ต้องดูแลสุขอนามัยช่องคลอดให้สะอาด ไม่ให้น้ำคาวปลาสะสม จนทำให้เกิดการติดเชื้อ ที่เรียกว่า "สันนิบาตหน้าเพลิง" ซึ่งหมายถึง ไข้ที่เกิดในช่วงหลังคลอด
        วิธีของการดูแลหลังคลอด โดยแม่หลังคลอด 1 คน อาจจะใช้เพียง 1-2 วิธีเท่านั้นหรือมากกว่าขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายคุณแม่หลังคลอด          
การอยู่ไฟ          
กำหนดวันอยู่ไฟ ใช้เวลา 7 วันแต่ไม่เกิน 3 เดือน ในสมัยก่อนหมอตำแยจะไม่ได้เย็บแผลที่ฉีกขาด จึงต้องให้คุณแม่นอนบนกระดานแผ่นเดียวหนีบขาทั้งสองข้างไว้ ช่วยให้แผลติดกันได้
วิธีการอยู่ไฟ
      -ผู้คลอดจะนอนอยู่บนกระดานแผ่นใหญ่ที่เรียกว่า กระดานไฟ 
      - นอนบนไม้กระดาน ส่วนเตาไฟอยู่ใต้แคร่ มีแผ่นสังกะสีรองทับอีกที เรียกว่า อยู่ไฟแคร่
      - นอนบนกระดานไฟซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับพื้นและมีกองไฟอยู่ข้าง ๆ เรียกว่า อยู่ไฟข้าง 

-ในสมัยก่อนจะนิยมอยู่ไฟข้างมากกว่าอยู่ไฟแคร่           
ประโยชน์ของการอยู่ไฟ
      ทำให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น คลายกล้ามเนื้อที่เกิดจากการกดทับขณะตั้งครรภ์คลายตัว เลือดลมไหลเวียนได้ดี ปรับสมดุลร่างกายให้เข้าที่ อาการหนาวสะท้านจากการเสียเลือดหลังคลอดดีขึ้น มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น ทำให้น้ำคาวปลาแห้งเร็ว 

การนั่งถ่าน

เป็นการรมควันจากการเผาสมุนไพร ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะในการกระตุ้นการบีบตัวของมดลูก ช่วยขับน้ำคาวปลา ทำความสะอาดแผลฝีเย็บและช่องคลอด สมานแผล บรรเทาอาการเจ็บปวดแผล ลดการติดเชื้อหลังคลอด สมุนไพรที่ใช้ ได้แก่ ผิวมะกรูด ว่านน้ำ ว่านนางคำ ไพล ขมิ้น อ้อย ชานหมาก ชะลูด ขมิ้นผง ใบหนาด กำยานบดผง นำมาหั่นให้ละเอียด แล้วเอาไปตากแดด ใช้ทีละหยิบมือโรยบนเตาไฟขนาดเล็ก เพื่อให้เกิดควันลอยขึ้นเพื่อสมานแผลบริเวณฝีเย็บ

กระโจมอบสมุนไพร ประคบสมุนไพร

-ก่อนเข้ากระโจม เอาว่านนางคำฝนผสมกับเหล้าและการบูร 
-กระโจมทำโครงด้วยซี่ไม้ไผ่ดุจโครงมุ้งประทุน เอาผ้าคลุมให้มิดชิดไปตั้งบนที่สูงๆ ใต้ที่ตั้งกระโจมตั้งเตาต้มหม้อยา ฝังท่อกระบอกไม้ไผ่สอดขึ้นไปในกระโจม เพื่อให้ไอน้ำยาเดือดขึ้นมา เข้าไปในกระโจมตามท่อ คนเข้ากระโจมจะได้รับไอน้ำยา เรียกว่าเข้ากระโจมยา
-ถ้าเป็นคนยากจนหาอะไรไม่สะดวก ก็ใช้อิฐเผาไฟให้ร้อน เอาเข้าไปไว้ในกระโจม แล้วเอาน้ำเกลือราดบนอิฐเป็นไอพลุ่งขึ้นมารมหน้าและเนื้อตัว อย่างนี้เรียกว่าเข้ากระโจมอิฐ
ประโยชน์
ทำให้รูขุมขนเปิดออกสิ่งสกปรกถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ ช่วยขับน้ำคาวปลา ช่วยให้ผิวพรรณดี ทำให้การไหลเวียนเลือดเพิ่มขึ้น  ข้อควรระวัง คือ หญิงหลังคลอดใหม่ๆไม่ควรเข้ากระโจม เนื่องจากร่างกายอ่อนแอ

การประคบสมุนไพร
         เป็นวิธีการที่สามารถประคบด้วยลูกประคบ ซึ่งมีตัวยาคือ ไพร ขมิ้น ข่า ตะไคร้หอม ใบมะขาม ใบส้มป่อย เถาเอนอ่อน เถาโคดลาน เถาวัลย์เปรียง มะกรูด พิมเสน การบูร นำไปห่อทำเป็นมัด นึ่งให้ความร้อน ประคบตามตัวและเต้านม
ประโยชน์ของการประคบสมุนไพรกรณีหลังคลอด
1.ช่วยลดการอักเสบ ลดการคัดของเต้านม
2.ช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังคลอดบุตร
3.ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก

การทับหม้อเกลือ

อุปกรณ์การทับหม้อเกลือ
1.ผ้า
2.หม้อทะนน (หม้อดินขนาดเล็กไม่มีหู ผิวด้านนอกก้นหม้อไม่เรียบ)
3.เตาและถ่าน
4.เกลือเม็ด เติมถึงคอหม้อ
5.ใบพลับพลึงหรือใบละหุ่ง


ขั้นตอนนาบหรือทับหม้อเกลือ
ท่าที่1การทับบริเวณหน้าท้อง
ท่าที่2 การเข้าตะเกียบโดยไม่ต้องเหยียบ
ท่าที่3 ท่านอนตะแคง
ท่าที่4 ท่านอนคว่ำ
หม้อเกลือที่ร้อนแล้ว 1 ใบ จะใช้ทับทุกท่าใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง หม้อเกลือจะเริ่มเย็นลงจึงเปลี่ยนหม้อใบใหม่ เกลือที่เคยใช้แล้วไม่ควรนำไปใช้อีกเพราะจะทำให้เก็บความร้อนไม่นาน
ข้อควรระวัง
1.ห้ามทำในรายที่มีไข้
2.หม้อเกลือที่ยกลงใหม่ๆจะร้อนมาก ดังนั้นจึงต้องระวังไม่ให้วางหรือกดแช่นาน
3.ต้องมีการนวดที่ถูกวิธี เพื่อไม่ให้เกิดการตกเลือด

ด้านสมุนไพรบำรุงสุขภาพหลังคลอด

สมุนไพรพื้นบ้านหลายชนิดที่ได้ถูกนำมาให้แม่กินหลังคลอดเพื่อบำรุงน้ำนม ขับน้ำคาวปลา ขับของเสียออกจากร่างกาย เพิ่มการไหลเวียนเลือด เช่น  
1.หัวปลี ตั้งแต่โบราณสอนกันต่อๆมาว่าผู้หญิงที่คลอดลูกใหม่ๆให้กินหัวปลีมากๆจะได้มีน้ำนมให้เลี้ยงลูก
2.มะขาม คนไทยโบราณนิยมใช้กิ่งหรือต้นมะขามเป็นยาบำรุงน้ำนมและยาอาบหลังคลอด
3.พริกไทย 
4.ใบกะเพรา
5.มะรุม  
6.ขิง 
7.กระท้อน

นอกจากสมุนไพรดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีอาหารที่หญิงหลังคลอดไม่เกิน 6 เดือนไม่ควรกิน

      ขนุนทุเรียน, มันสำปะหลัง, ปูนาหรือปูทะเล, กล้วยทุกชนิด, ของหมักดองทุกชนิด

           

บทสัมภาษณ์

สัมภาษณ์อาสาสมัครผู้เป็นอดีตหมอตำแย
1.ชื่อ อายุ ปัจจุบันทำประกอบอาชีพอะไร
          ชื่อ นางสมศรี สมบูรณ์ อายุ 62 ปี อาชีพ: ที่ปรึกษาทางบัญชี”

2.ประสบการณ์          
               “ป้าเคยไปเป็นอาสาสมัครที่เขตพัทลุง ตรัง และสตูล เมื่อ 40 ปีที่แล้ว เพราะเป็นเขตพื้นที่ที่อันตราย ป้าได้ทำคลอดเด็กมามากกว่า 10 คน หลังจากนั้นก็ได้ไปเรียนแพทย์แผนไทยเพื่อได้ใบประกอบโรคศิลป์ เพื่อจะปฏิบัติงานได้ แต่การเรียนภาคผดุงครรภ์แผนไทยไม่มีอาจารย์สอน มีแต่ตำราทฤษฎีและการสอบใบประกอบโรคศิลป์ ป้าก็ใช้ความรู้ที่ได้ปฏิบัติจริงมาทำความเข้าใจแล้วนำไปสอบ แล้วได้ใบออกมา หลังจากนั้นป้าได้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังที่เรียนผดุงครรภ์แผนไทยอยู่ในสมาคมเภสัชและอายุรเวชโบราณแห่งประเทศไทย แล้วหลังจากที่ได้เรียนแพทย์แผนจีน ป้าถนัดด้านการฝังเข็ม”

3.การทำคลอด
              ต้องใช้น้ำต้มในการทำความสะอาดต่างๆ การคลอดธรรมดาคุณแม่จะเบ่งเองเด็กจะเคลื่อนตัวมาที่ปากมดลูก พอช่องคลอดขยายขึ้นคนเป็นหมอต้องกดไว้ที่ฝีเย็บ ฝีเย็บคือระหว่างช่องคลอดกับช่องทวารหนักฝีเย็บจะฉีกขาด หมอเป็นผู้ช่วยที่จะประคองไม่ให้ฉีกขาด แล้วกดเพื่อให้เด็กเงยชันหัวขึ้นเพราะเด็กจะก้มลงดันผนัง หมอจะมีวิธีกดเพื่อให้เงยแล้วเด็กจะลื่นออกมา เราต้องพลิกตัวเด็กตะแคงอย่าให้หงายเพราะน้ำคร่ำจะเข้าปากสำลัก จับขาเล็กห้อยหัวลงแล้วตีก้นเพื่อให้เด็กคลายน้ำออกมา ใช้ไม้ไผ่ตัดสายสะดือ เด็กส่งเสียงร้องออกมา คือปอดทำงานแล้ว ที่ฝีเย็บเอาไม้ไผ่ 2 อันคีบแล้วผูกหัวท้ายค้างไว้ 2-3 วันเพื่อให้เนื้อสมานกัน”

4.หลังการทำคลอดมีการอยู่ไฟไหม
              มีการอยู่ไฟโดยการนั่งถ่านจะเป็นเก้าอี้มีวงกลมๆมีเตาเพื่อรมช่องคลอดแต่บางที่ให้นอนบนแคร่แล้วข้างใต้รมเหมือนกัน บางที่เอากองไฟไว้ข้างๆ ทุกวิธีต้องการให้คุณแม่ขับของเสียให้ออกมากที่สุด ซึ่งการดูแลหลังคลอดฝรั่งชอบมากแล้วส่งคนมาเรียนเพื่อกลับไปดูแลคนคลอดลูกที่ต่างประเทศ ภูมิปัญญาหลังคลอดบ้านเราใช้ได้และเป็นอาชีพในปัจจุบัน”

5.คิดว่าในปัจจุบันหมอตำแยยังมีอยู่ไหม
             มีแต่อยู่ในเขตชนบทลึกๆที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงโรงพยาบาลได้ ที่ป้ารู้คือ อ.อุ้มผาง จังหวัด ตาก เขตแม่จันทะ”


สัมภาษณ์อดีตผู้ช่วยหมอตำแย
1.ชื่อ อายุ ปัจจุบันทำประกอบอาชีพอะไร
                 “ชื่อ นางสำรวย ฟักอุดม อายุ 75 ปี อาชีพ:จำหน่ายสินค้าสมุนไพรแม่สำรวย”

2.ประสบการณ์
              “
แม่ของยายเป็นหมอตำแย พ่อเป็นหมอยา หมอยาไม่ได้ทำคลอด สมัยนั้น 70 ปีที่แล้วไม่มีโรงพยาบาลใครจะคลอดต้องมาตามแม่ ตอนเด็กยายก็ช่วยแม่กับพ่อเก็บสมุนไพรจากป่าปรุงยารักษาโรคทำลูกประคบสำหรับคนคลอดลูก เป็นผู้ช่วยแม่ตอนทำคลอด ตั้งแต่จำความได้แต่พอต้องเรียนก็เข้าเมืองไปเรียนไม่ได้ช่วยทำคลอดอีกเลย”
3.
การทำคลอด
                “
ยายเป็นผู้ช่วยของแม่ ช่วยต้มน้ำเอาไว้ล้างมือ ล้างตัวเด็ก น้ำต้มถือว่าสะอาดแล้ว และมีการใช้ผ้าพาดลงจากคานให้แม่ดึงเพื่อเบ่ง แล้วแม่ยายก็คลำท้องเพื่อดูหัวเด็กว่ากลับหัวรึยัง แล้วก็เป็นหน้าที่แม่เด็กที่จะเบ่งออกมา ส่วนยายก็เป็นกำลังใจ จนเด็กคลอดออกมาใช้ไม้ไผ่ตัดสายสะดือ ถ้ารกไม่หลุดออกมาก็ใช้สารส้มยัดเข้าไป แล้วสักพักรกก็หลุด ให้แม่เด็กพัก ก็ช่วยดูแลหลังคลอดอีก”
4.หลังการทำคลอดต้องทำอย่างไรบ้าง
จะมีการนวดประคบด้วยลูกประคบหรือการอบตัวโดยนำสมุนไพรไปต้มแล้วเอาผ้าคลุมอบตัว มีการใช้สมุนไพรพวกไพร ขมิ้น ข่า ตะไคร้ใบมะขาม ใบสมปอย และอีกเยอะ เพื่อบรรเทาความปวดเมื่อย ให้เลือดลมเดินสะดวก ไม่ก็นอนอยู่ไฟข้างกองไฟ”
5.คิดว่าในปัจจุบันหมอตำแยยังมีอยู่ไหม
มีอยู่แต่ไม่ได้ทำคลอดแล้วไปเป็นหมอประยุกต์ดูแลแม่หลังคลอดโดยรับอยู่ไฟบ้าง ขายลูกประคบสมุนไพร อย่างที่โรงพยาบาลหนองแคก็มาเอาของยายไปไว้บริการหลังคลอดให้กับแม่ที่มาคลอด ยายก็อยู่กลุ่มแม่บ้านชุมชนบ้านหนองจิก ทำยาสมุนไพร ทำลูกประคบ สมุนไพรอบตัวจากภูมิปัญญาพื้นบ้านมาขายเป็นของOTOP แม้ยายไม่สามารถทำคลอดได้แต่ก็ยังสืบทอดความรู้ของพ่อแม่ยายในการดูแลหลังคลอดไว้ได้ ”

การเยี่ยมชมหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์สุขภาพไทยสังกัดกระทรวงสาธารณสุข

แผนที่
เว็บไซต์หอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์สุขภาพไทย
หมอตำแยคนสุดท้ายแห่งเมืองชาละวัน
               หากถามไปทั่วคุ้งน้ำเมืองพิจิตรผีมือการทำคลอดคงไม่มีใครเกินหมอตำแยชื่อ ยายเนียม อินปรางค์ ผู้สืบทอดวิชาหมอตำแยจากพ่อคือ พ่อเมือง เพ็งแจ้ง จนรับหน้าที่สืบทอดหมอตำแยต่อจากผู้เป็นพ่อ แม้ว่าจะถูกเรียกว่า “หมอตำแย” แต่อาชีพหลักของคุณยายเนียมคือ การทำขนมขาย หาบเร่ จนเมื่อมีเสียงร้องโอดโอยของคนใกล้คลอดหน้าที่หมอตำแยของยายเนียมจึงเกิดขึ้น ความเก่งของยายเนียมนั้นคงการันตีได้จากคำยืนยันของยายว่าไม่เคยมีใครตายคามือยายแม้แต่คนเดียวเรียกว่าประสบความสำเร็จเต็มร้อย แม้แต่เด็กที่ใช้เท้าออกมายายเนียมก็พาออกมาจนสำเร็จได้อย่างง่ายดายแต่เมื่อการแพทย์สมัยใหม่ก้าวเข้ามาคนนิยมไปทำคลอดที่โรงพยาบาลมากขึ้น ยายเนียมก็คงทิ้งไว้แค่ชื่อให้ชาวพิจิตรเรียกขานว่าเป็นหมอตำแยคนสุดท้ายเท่านั้น
หมอตำแยคนสุดท้ายแห่งบ้านสามโคก
               ออกลูกถ้าออกมาง่ายๆ มันเหมือนยี่เกลาโรง น่าเบื่อตาย ต้องออกยาก ยิ่งยากท่าไหร่ แหม! มันสนุกบรรลัย” ปากคำของยายสวาด นิยมจันทร์ หมอตำแยคนสุดท้ายแห่งบ้านสามโคก ทำให้เรารู้ว่าไม่ว่าเด็กจะออกกระบวนท่าไหน ยายสวาดก็"เอาอยู่" เหมือนครั้งหนึ่งที่ยายสวาดเคย "พลิกเด็ก" โดยใช้ความรู้ที่สืบทอดจากภูมิปัญญาของหมอตำแยที่แพทย์สมัยใหม่ยังต้องทึ่ง "บางคนเดี๋ยวนี้ไปออกลูกที่โรงพยาบาล ออกไม่ได้ หมอบอกลูกมันนอนตะแคงต้องผ่าออก นังแม่ไม่กล้าผ่า กลับมาให้ฉันฝืนท้อง กดมับพลิกเด็กให้มันคว่ำหน้า กลับไปโรงพยาบาลออกลูกต่อได้ก็มี" แสดงให้เห็นว่าหมอตำแยมีความรู้เรื่องการคลอดในระดับที่ไม่ธรรมดา น่าเสียดายที่บ้านสามโคกจะไม่มีผู้สืบทอดวิชาหมอตำแยจากยายสวาดอีกต่อไปแล้ว

การแพทย์สมัยใหม่ที่มีผลต่อภูมิปัญญาหมอตำแย


พ.ศ. 2385 การทำสูติกรรมแบบตะวันตก (1)
หมอบรัดเลย์เห็นว่าการผดุงครรภ์แบบดั้งเดิมที่ทำกันในสังคมไทย ทำให้ผู้หญิงเสี่ยงอันตรายจากการคลอด หมอบรัดเลย์พยายามผลักดันให้สังคมไทยหันมาใช้วิธีสูติกรรมแบบใหม่ตามตะวันตกโดยพยายามผลักดันผ่านหมอหลวงหมอบรัดเลย์ใช้วิธีแปลและเรียบเรียงตำราการทำสูติกรรมตามตะวันตกที่ตีพิมพ์ในอเมริกาเป็นภาษาไทย ใช้ชื่อว่า คัมภีร์ครรภ์ทรักษา เป็นตำราแพทย์แผนปัจจุบันเล่มแรกที่พิมพ์เป็นภาษาไทย

พ.ศ. 2466  ตราพระราชบัญญัติการแพทย์
      เพื่อควบคุมการประกอบโรคศิลป์และป้องกันอันตรายจากการรักษาพยาบาลโดยผู้ที่ไม่มีความรู้และมิได้ผ่านการฝึกหัดอย่างถูกต้อง นับเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่มีกฎหมายรองรับการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์

พ.ศ. 2470 เปิดอบรมหมอตำแยครั้งแรก
เปิดอบรมหมอตำแยครั้งแรกที่วชิรพยาบาล ต่อมา "การอบรมหมอตำแย" ได้เปลี่ยนชื่อเป็นการอบรมผดุงครรภ์ชั้นสอง เมื่อเรียนจบจะส่งไปประจำตามสุขศาลาอำเภอต่างๆ

พ.ศ. 2474 ตั้งโรงเรียนผดุงครรภ์ชั้นสองในวชิรพยาบาล
กรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย ได้จัดตั้ง โรงเรียนอบรมผดุงครรภ์ชั้นสองขึ้นในวชิรพยาบาล นับเป็นโรงเรียนผดุงครรภ์แห่งแรกของประเทศไทย

พ.ศ. 2483 ส่งนักเรียนผดุงครรภ์ออกไปประจำสถานีอนามัยชั้นสอง
กรมสาธารณสุข จัดส่งนักเรียนผดุงครรภ์ที่สำเร็จหลักสูตร ไปประจำตามสถานีอนามัยชั้นสองในท้องที่อำเภอต่างๆ เนื่องจากในชนบทมีอัตราการตายของมารดาและทารก ทั้งระหว่างการตั้งครรภ์ระหว่างคลอด และภายหลังคลอดอยู่ในระดับสูงเกินควร รัฐบาลเห็นว่าเพราะคนในชนบทขาดความรู้ในการปฏิบัติตนระหว่างตั้งครรภ์ การบริบาลทารก การคลอด




รายนามและที่อยู่หมอตำแย (โต๊ะบิแดที่ร่วมในโครงการสร้างเสริมสุขภาพและการดูแลอนามัยของมารดาและทารกชาวไทยมุสลิมใน 5 จังหวัดชายแดนใต้ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข


ลำดับที่
Node
ชื่อ
ที่อยู่
จังหวัด
1
ปัตตานี
นางแอเสาะ ยามา
บ้านเลขที่ 139 หมู่ที่ 4 ตำบลพิเทน อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
2
นางมาตี  มะเส็ง
บ้านเลขที่ 35 หมู่ที่ 6 ตำบลพิเทน อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
3
นางแอเสาะ มะเส็ง
บ้านเลขที่ 35 หมู่ที่ 6 ตำบลพิเทน อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
4
นางฮาลีเมาะ เด็งสาแม
บ้านเลขที่ 110 หมู่ที่ 1 ตำบลพิเทน อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
5
นางอีแมะ  อาหลี
บ้านเลขที่ 24 หมู่ที่ 7 ตำบลพิเทน อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
6
นางบีเดาะ เจะนิ
บ้านเลขที่ 64 หมู่ที่ 3 ตำบลพิเทน อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
7
นางปือเสาะ เจะหะมะ
บ้านเลขที่ 73 หมู่ที่ 5 ตำบลพิเทน อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
8
นางสาตีเยาะ รีจิ
บ้านเลขที่ 3 หมู่ที่ 1 ตำบลละหาร อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
9
นางบูงอ เจะอาแซ
บ้านเลขที่ 73 หมู่ที่ 1 ตำบลละหาร อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
10
นางมีเดาะ ปิ
บ้านเลขที่ 84 หมู่ที่ 4 ตำบลละหาร อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
11
นางลีเมาะ  สีวัน
บ้านเลขที่ 61 หมู่ที่ 4 ตำบลละหาร อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
12
นางแลขอ มาเสาะฮี
บ้านเลขที่ 62/หมู่ที่ 4 ตำบลพิเทน อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
13
นางรอเมาะ สาและ
บ้านเลขที่ 94 หมู่ที่ 5 ตำบลพิเทน อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
14
นางเยาะ วิชา
บ้านเลขที่ 94 หมู่ที่ 1 ตำบลพิเทน อำเภอทุ่งยางแดง
ปัตตานี
15
รพ.จะนะ
นางเม๊าะ  หง๊ะเจ๊ะแอ
บ้านเลขที่ 10 หมู่ที่ 4 ตำบลลำไพ อำเภอเทพา
สงขลา
16
นางเย๊าะ  สังข์จันทร์
บ้านเลขที่ 35 หมู่ที่ 11 ตำบลลำไพ อำเภอเทพา
สงขลา
17
นางแมะ  ซาหีมซา
บ้านเลขที่ 117 หมู่ที่ 11 ตำบลสะกอม อำเภอเทพา
สงขลา
18
นางสาปีเย๊าะ  สาแม
บ้านเลขที่ 96 หมู่ที่ 8 ตำบลปากบาง  อำเภอเทพา
สงขลา
19
นางลิเมาะ  หะยีตาเยะ
บ้านเลขที่ 92 หมู่ที่ 2 ตำบลปากบาง อำเภอเทพา
สงขลา
20
รพ.จะนะ
นางเหมะ เอียดหวัง
บ้านเลขที่ 41/1 หมู่ที่ 1 ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ
สงขลา
21
นางโสง วาโยสิน
บ้านเลขที่ 57/1 หมู่ที่ 3 ตำบลตลิ่งชัน อำเภอจะนะ
สงขลา
22
นางมารีเย๊าะ เอียดหวัง
บ้านเลขที่ 40หมู่ที่ 1 ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ
สงขลา
23
นางเสาะ มัสอแยนา
บ้านเลขที่ 22/1 หมู่ที่ 8 ตำบลตลิ่ง
ชัน อำเภอจะนะ
สงขลา
24
นางมาเลาะ ขรีดาโอ๊ะ
บ้านเลขที่ 17 หมู่ที่ 9 ตำบลป่าชิง อำเภอจะนะ
สงขลา
25
รพ.ควนโดน
นางตีมะ สกุลา
บ้านเลขที่ 64 หมู่ที่ 7 ตำบลควนสตอ อำเภอควนโดน
สตูล
26
นางมะ บิลาอายู
บ้านเลขที่ 154 หมู่ที่ 4 ตำบลควนสตอ อำเภอควนโดน
สตูล
27
นางกราโสม บิลาอายู
บ้านเลขที่ 50 หมู่ที่ 4 ตำบลควนสตอ อำเภอควนโดน
สตูล
28
นางชาโรม แซะอามา
บ้านเลขที่ 48 หมู่ที่ 2 ตำบลควนโดน อำเภอควนโดน
สตูล
29
นางมาลา อะสมาน
บ้านเลขที่ 24หมู่ที่ 7 ตำบลควนโดน อำเภอควนโดน
สตูล
30
ศานติธรรม
นางลีม๊ะ เจ๊ะเล็ม
บ้านเลขที่ 2 หมู่ที่ 1 ตำบลวังประจัน อำเภอควนโดน
สตูล
31
นางรอฮิบะ ละไบแต
บ้านเลขที่ 42 หมู่ที่ 8 ตำบลวังประจัน อำเภอควนโดน
สตูล
32
นางตียะ ละไบแต
บ้านเลขที่ 23 หมู่ที่ 3 ตำบลวังประจัน อำเภอควนโดน
สตูล
33
นางมีน๊ะ ละใบจิ
บ้านเลขที่ 35 หมู่ที่ 4 ตำบลวังประจัน อำเภอควนโดน
สตูล
34
นางหนะ หีมอะด้ำ
บ้านเลขที่158ตำบลบ้างกล่ำ อำเภอโคกเมา
สงขลา
35
ศูนย์อนมัย 12 ยะลา
นางมือลอ ดือเร๊ะ
บ้านเลขที่ 25 หมู่ที่ 7 ตำบลวังจะแนะ อำเภอจะแนะ
นราธิวาส
36
นางแวซง โต๊ะอีแม
บ้านเลขที่ 27/2 หมู่ที่ 6 ตำบลวังประจัน อำเภอยะรัง
ปัตตานี
37
นางชารีป๊ะ กอและ
ตำบลเมาะยาวี อำเภอยะรัง
ปัตตานี
38
นางอัสมะ กะดะแช
บ้านเลขที่ 96/1 หมู่ที่ 5 ตำบลกายูบอเกาะ  อำเภอราโมน
ยะลา
39
นางมีเนาะ ดอมอรอ
ตำบลกาลูปัง อำเภอรามัน
ยะลา
40
นางแยนะ เจะหลง
41
นางซือมะ ดะมะยะ